ศัลยกรรมแปลงเพศ

      หากคุณเกิดเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง รู้สึกไม่พึงพอใจในเพศสภาพของตนเอง

คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเพศได้อย่างใจต้องการด้วยการผ่าตัดแปลงเพศ

เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศในปัจจุบันมีความทันสมัย ปลอดภัย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถผ่าตัดตกแต่งอวัยวะเพศหญิงให้ได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติ จนบางครั้งแทบแยกไม่ออกเลยว่าได้ผ่านการแปลงเพศมาก่อน

คนไข้ที่คิดจะแปลงเพศควรคิดใคร่ครวญให้รอบคอบถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง  คำนึงถึงเรื่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังการแปลงเพศทั้งในเรื่องของงาน ครอบครัว เพราะหลังแปลงเพศแล้วไม่สามารถเปลี่ยนกับคืนดังเดิมได้

สิ่งที่ต้องทำก่อนการรับการแปลงเพศ

  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแปลงเพศโดยเฉพาะก่อน เพื่อศึกษาขั้นตอนและผลการรักษาอย่างละเอียด
  • เข้าพบจิตแพทย์เพื่อพิจารณาสภาพจิตใจของผู้ที่ต้องการแปลงเพศอย่างละเอียด และทำให้มั่นใจว่าจิตใจพร้อมจริงๆ ที่จะแปลงเพศ และจะไม่เปลี่ยนใจกลับมาเป็นเพศเดิมในภายหลัง

คุณสมบัติของผู้ที่ต้องการแปลงเพศ

  • มีอายุ 20 ปีขึ้นไป หากมีอายุน้อยกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง
  • มีความรู้สึกเป็นหญิงมานาน และใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงติดต่อกันเป็นระยะที่ยาวนานมากกว่า 1 ปี
  • รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศชาย
  • เคยได้รับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชนิดรับประทานหรือฉีด อย่างน้อย 1 ปี
  • คนรอบข้างยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นได้ และตัวคุณเองมีความสุขโดยไม่มีความกดดันใดๆ

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ

  1. วางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
  2. แพทย์จะทำการตัดต่อท่อปัสสาวะที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้
  3. เปิดช่องบริเวณนั้น เพื่อสร้างช่องคลอดเทียม
  4. แพทย์จะใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณท่อทวารหนัก ย้ายไปอยู่เหนือบริเวณท่อทวารหนักในระดับที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะ
  5. แล้วผ่าตัดเปิดผิวหนังให้เป็นช่องที่กว้าง 1.5 – 2 นิ้ว และลึก 4 – 8 นิ้ว
  6. หลังจากนั้นจะทำการดึงผิวหนังหุ้มบริเวณองคชาติไปกั้นเป็นผนังช่อง ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวองคชาติ สำหรับในรายที่อวัยวะเพศชายค่อนข้างสั้น แพทย์จะผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่มาต่อกับผิวหนังองคชาติ เพื่อเพิ่มความลึกของช่องคลอด
  7. ตัดลูกอัณฑะและท่อส่งน้ำเชื้อให้เหลือสั้นที่สุด และนำหนังหุ้มอัณฑะมาตกแต่งรูปร่างแคมเล็กหรือแคมใหญ่ภายนอกช่องคลอดเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของอวัยวะเพศให้ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด
  8. สุดท้ายตกแต่งประสาทรับความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกเหมือนเพศหญิง เรียกว่า ปุ่มคลิตอริส (Clitoris) ซึ่งโดยทั่วไปจะพบว่าความรู้สึกทางเพศ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิม แต่กลับมีความมั่นใจขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
การเตรียมตัวก่อน ผ่าตัดแปลงเพศ
  • ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะได้ทราบถึงสภาพความพร้อมของร่างกาย
  • หากรับประทานยาชนิดใดอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ที่ทำการผ่าตัดทราบ เพื่อแนะนำว่าควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงตัวยาก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่
  • ควรหยุดใช้ยาฮอร์โมนล่วงหน้า 1 เดือน
  • งดวิตามิน อาหารเสริม 2 สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่ 1 เดือน
  • งดแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์
  • ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย 2-3 วัน เพื่อให้ภายในลำไส้มีการตกค้างของกากอาหารน้อยลง ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
การดูแลหลังการ ผ่าตัดแปลงเพศ
  • หลังการผ่าตัดจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน เพื่อดูแลแผลอย่างใกล้ชิด
  • ลดอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มประเภทนมที่อาจทำให้มีกากและเกิดการขับถ่ายมาก ในช่วง 2 วันหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผล
  • ทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำยาป้องกันและฆ่าเชื้อโรค หรือน้ำเกลือล้างแผล วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และวันละ 1 ครั้ง หลัง 1 เดือน จนประมาณ 6 เดือน
  • ทาขี้ผึ้งรักษาที่บริเวณแผล รูเปิดท่อปัสสาวะ และคลิทอริสทุกครั้งหลังอาบน้ำ
  • หลังผ่าตัดในระยะแรก ควรนอนในท่าที่ขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน โดยอาจใช้ผ้าห่มหรือหมอนกั้นกางไว้ขณะที่หลับ เพื่อไม่ให้แผลผ่าตัดถูกกดทับ
  • สามารถลุกเดินได้หลังผ่าตัด 5 วัน
  • ใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียมหรือใช้นิ้วมือ 2 นิ้ว สวมถุงยางอนามัยหล่อลื่นด้วยขี้ผึ้ง ป้องกันช่องคลอดตีบตันในช่วง 3สัปดาห์แรกโดยสอดค้างไว้ครั้งละ 1 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง
  • หลังจาก 3 สัปดาห์ เพิ่มขนาดวัสดุขยายช่องคลอดที่ใหญ่ขึ้นและสอดใส่ในลักษณะสอดเข้า ดึงออก เหมือนกับการมีเพศสัมพันธ์ อาจจะเจ็บบ้างในช่วงแรก แต่อาการเจ็บจะหายไปเอง ช่วงนอนหลับให้สอดแท่งขยายคาไว้จะดีที่สุด ทำทุกวันต่อเนื่อง6เดือน
  • หลัง 6 เดือน ให้ขยายช่องคลอดวันละ 1 ครั้งจนครบ 1 ปี เพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบแคบแล้วจะแก้ยากในภายหลัง
  • มีเพศสัมพันธ์ได้หลังผ่าตัดประมาณ 2 เดือน ถ้ามีเพศสัมพันธ์ก่อนอาจทำให้แผลฉีกได้
  • หากเกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น ภาวะปัสสาวะขัดหรือปัสสาวะไม่ค่อยออก ที่อาจเกิดจากท่อปัสสาวะตีบ, ช่องคลอดตีบ, ปากช่องคลอดหดแคบ, แผลผ่าตัดแยก หรือเจ็บที่อวัยวะเพศมาก แนะนำให้มาพบแพทย์ เพื่อที่แพทย์จะได้ทำการรักษา ให้คำแนะนำ และแก้ไขให้ได้อย่างถูกวิธี